วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ

                                          

             การเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือจดหมายติดต่อระหว่าง
    บุคคล หรือจดหมายส่วนตัว อาจเป็นจดหมายถามทุกข์สุข แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ  จดหมาย เชิญ จดหมายอีกประเภทหนึ่งเป็นจดหมายธุรกิจ ซึ่งใช้ติดต่อระหว่างบุคคลกับสำนักงานธุรกิจ หรือระหว่างสำนักงานธุรกิจด้วยกัน สำหรับในเอกสารนี้จะให้รายละเอียดเฉพาะจดหมายส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นจดหมายที่นักเรียนคุ้นเคย และอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
มาเริ่มกันที่ส่วนประกอบของ การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ
1. Heading (หัวจดหมายภาษาอังกฤษ) หัวจดหมายคือที่อยู่ของผู้เขียนจดหมาย และวันที่ที่เขียนจดหมาย ซึ่งนิยมเขียนไว้บนมุมด้านขวาหรือซ้ายของจดหมายก็ได้
2. Inside Address (ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ) ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ ซึ่งเขียนหรือพิมพ์ไว้ทางด้านซ้ายบน ถัดจากหัวจดหมายลงมาจะปรากฏเฉพาะในจดหมายธุรกิจเท่านั้น สำหรับรูปแบบการเขียนเหมือนกับหัวจดหมาย
3. Solution (คำขึ้นต้นจดหมายภาษาอังกฤษ) คำขึ้นต้นจดหมายในภาษาอังกฤษ เปรียบเสมือนคำทักทายเพื่อเริ่มต้นจดหมาย ต้องเขียนหรือพิมพ์ไว้ริมซ้ายของกระดาษด้านบนต่อจากหัวจดหมาย สำหรับจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล และต่อจากชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมาย สำหรับจดหมายธุรกิจ คำขึ้นต้นจดหมายอาจเขียนได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เราเขียนถึงว่ามีความสัมพันธ์กับผู้เขียนอย่างไร

3.1 คำขึ้นต้นสำหรับญาติผู้ใหญ่
My dear…………………….. , เช่น
My dear grandmother, (ย่า, ยาย)
My dear father, (พ่อ)
My dear uncle, (ลุง)
My dear mother, (แม่)

3.2   คำขึ้นต้นสำหรับญาติที่อายุอ่อนกว่า
Dear………… ,
My dear……………..,
My dearest……………..,
เช่น
My dearest son, (ลูก)
My dear Jim, (ระบุชื่อญาติ)

3.3   คำขึ้นต้นสำหรับญาติ, เพื่อน, ผู้รู้จัก ซึ่งมีวัยใกล้เคียงกันDear………… ,
My dear…………….., นิยมระบุชื่อ เช่นDear Surapong,Dear friend, (เพื่อน)

3.4   คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป ที่ทราบชื่อแต่ไม่รู้จักกันอย่างสนิท ถ้าเป็นชาวต่าง   ประเทศจะระบุคำนำหน้าชื่อพร้อมนามสกุล แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจระบุชื่อแทนนามสกุลได้  เช่น
Dear…………?
Dear Dr.Young, (Dr. J.N. Young)
Dear Mrs.Supranee,
Dear Mr.Ferrari (Mr. D.F. Ferrari)

3.5   คำขึ้นต้นสำหรับผู้ใหญ่ที่รู้จัก นับถือ    Dear…………,
Dear Sir, (ผู้ชาย)
Dear Madam, (ผู้หญิง)
Dear teacher, (ครู)
Dear Mistress, (นายผู้หญิง)

3.6   คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่พิเศษ
Your Excellency, (ทูต, รัฐมนตรี)
Dear lady, Your Excellency, (ภริยาทูต, รัฐมนตรี)
Dear Mr. President, (ประธานาธิบดี)
Your Majesty,May it please your Majesty,Sir, Dear Mr. Speaker, (ประธานสภาผู้แทนราษฎร)

3.7   คำขึ้นต้นจดหมายธุรกิจ Dear Sir , Sir , Gentleman , Dear………., (ถ้ารู้จักชื่อ)
4. Body of letter (ตัวจดหมายภาษาอังกฤษ) ตัวจดหมาย คือ ข้อความของจดหมายซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจดหมาย เพราะเป็นการสื่อความประสงค์ระหว่าง โดยข้อความในจดหมายปกติแล้วจะแบ่งเป็น 3 ตอน
4.1 ความนำ แสดงการแนะนำตัวหรือบอกสาเหตุ
4.2 เนื้อความ  บอกวัตถุประสงค์
4.3 สรุป เขียนสรุปเรื่องหรือความมุ่งหวังในอนาคต

5. Complimentary Close (คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ) เมื่อเขียนจดหมายจบแล้ว ต้องมีคำลงท้าย ซึ่งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับผู้รับ สำหรับที่นิยมกันโดยทั่วไปได้แก่
Yours sincerely, Sincerely yours, Sincerely, = ด้วยความจริงใจ
With love,With much love,Love,  = ด้วยความรัก
หรือดูเพิ่มเติมได้ในเรื่อง
คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ
6. Signature (การลงนามจดหมายภาษาอังกฤษ) การ ลงนามของผู้เขียนจดหมาย แสดงให้รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายนั้น ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัว อาจเขียนชื่อหรือทั้งชื่อและนามสกุลในลักษณะหวัด หรือหวัดแกมบรรจง หรืออาจเป็นลายเซ็น (สำหรับบุคคลที่คุ้นเคยมาก ๆ) แต่สำหรับจดหมายธุรกิจนั้น ถัดจากคำลงท้ายจะเป็นลายเซ็น ถัดลงมาจะเป็นชื่อนามสกุลตัวบรรจง ถัดจากชื่ออาจเป็นตำแหน่ง
7. Outside address (การจ่าหน้าซองจดหมายภาษาอังกฤษ)
การจ่าหน้าซองจดหมายคือการเขียนที่อยู่ของผู้รับ (outside address) ซึ่งอาจเขียนได้ 2 แบบ คือ แบบขั้นบันได (Step) ซึ่งย่อเข้ามาทีละบรรทัด กับแบบบล็อก (Block)

   ที่มา : http://www.mescript.com/miscellaneous/

เทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

                                               

                                                            เทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ       ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลางที่มีความจำเป็น เนื่องจากมีบทบาทต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ รวมไปถึงน้อง ๆ นักศึกษาที่หลายหลักสูตรต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ส่วนใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการจำคำศัพท์ 'เกร็ดน่ารู้ Edutainment Zone' มีเทคนิคช่วยจำมาฝาก          .. จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง

          .. นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค

          .. จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง

          .. ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง

          .. ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น

หลักการจำที่สำคัญอีกประการ คงต้องอยู่ที่ความขยันและความสม่ำเสมอในการท่อง เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่ได้ผล.

       ที่มา :  https://www.myfirstbrain.com/teacher_view.aspx?ID=69770

หลักการเขียน Essay

                                                                                 

                                         หลักการเขียน Essay

      ด้วยเหตุที่เรียงความมีความยาวและความซับซ้อนมากกว่าย่อหน้าดังนั้นจึงจำเป็นที่ผู้เขียนต้องวางแผนการเขียนให้รัดกุม จัดแบ่งย่อหน้าให้ชัดเจนก่อนเริ่มลงมือเขียน ในการเขียนเรียงความแต่ละครั้งนั้นผู้เขียนควรเตรียมตัวในการเขียนดังนี้ // 1. กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะเขียน ( topic ) แรกสุดผู้เขียนต้องคิดเกี่ยงกับหัวข้อที่จะเขียนก่อนเสมอ โดยหัวข้อที่ผู้เขียนจะเขียนนั้นต้องเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับผู้อ่าน 2. ค้นคว้าเพิ่มเติม การค้นคว้าเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเขียนทุกชนิดไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา กีฬา เป็นต้น 3. ศึกษาลักษณะในเขียนเรียงความที่ถูกต้อง และภาษาที่ใช้ในการเขียนเรียงความต้องสละสลวย กลมกลืน ตามหลักการเขียนคือต้องการ – เป็นเอกภาพ( unity )คือเรื่องราวที่กำลังเขียนอยู่นั้นต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน – มีการลำดับเรื่องที่เหมาะสม ( logical order ) การเรียงประโยคต่างๆ ในแต่ละย่อหน้าเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์และความสำคัญสมเหตุสมผล – มีความต่อเนื่องของเนื้อหา ( coherence ) ใช้คำเชื่อมที่เหมาะสมและกลมกลืน 4. วางโครงเรื่องที่เขียนเหมาะสม ( outline ) ผู้เขียนต้องวางโครงเรื่องและส่วนประกอบต่างๆ พร้อมจัดลำดับความสำคัญของข้อมูลและย่อหน้าให้ชัดเจนเพื่อการเขียนจะได้ไม่ซ้ำซ้อน โดยโครงเรื่องหลักๆ ต้องประกอบด้วย 1) คำนำ 2) เนื้อเรื่อง

           ส่วนประกอบของเรียงความ

    เรียงความแต่ละเรื่องจะต้องมีส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วนด้วยกันคือคือ บทนำ ( An introductory paragraph) บทนำเป็นบทเริ่มเรื่อง เป็นการเขียนนำให้ผู้อ่าน เกิดความสนใจในเรื่องนั้นๆ และเป็นบทที่นำผู้อ่านไปสู่เนื้อเรื่องด้วย การเขียนบทนำอาจขึ้นต้นด้วยข้อคิด คำคม ภาษิต ข่าวสารบ้านหรือเหตุการณ์สำคัญๆต่างๆก็ได้ทั้งสิ้นแต่ต้องใช้ภาษาที่กระชับสละสลวย ดังนั้นเมื่อกล่าวโดยรวมบทนำจึงประกอบด้วยสองส่วนคือ 1)การกล่าวทั่วๆไป  ( general statements ) เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และ 2 ) การกล่าวระบุหัวใจสำคัญของเรื่อง ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นประโยคหลักหรือเป็น main idea ของย่อหน้า เพราะเป็นส่วนที่ควบคุมแนวคิดหลักๆ ของแต่ละย่อหน้า บทนำของเรียงความแต่ละเรื่องควรมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1)      เพื่อเป็นการแนะนำหัวข้อเรื่องของเรียงความ 2)      เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับเรียงความ 3)      เพื่อแสดงแผนงานโดยรวมของเรียงความ 4)      เพื่อเป็นกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านเรียงความ          2.   เนื้อเรื่อง ( A body )      เนื้อเรื่องคือการเขียนสาระสำคัญของเรื่องหรือเรียงความ ดังนั้น เนื้อเรื่องจึงถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรียงความ  เพราะถ้าขาดเนื้อเรื่องแล้วสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อย่อมไม่สำเร็จผลตามที่ต้องการแน่นอน  เนื้อเรื่องของเรียงความอาจจะประกอบด้วยหนึ่งย่อหน้าหรือหลายย่อหน้าก็ได้แต่ละย่อหน้าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันตลอดในส่วนของเนื้อเรื่องผู้เขียนสามารถอุทาหรณ์

          การเขียนย่อหน้า

          การเขียนเรียงความ

    การเขียนเรียงความ เป็นการนำความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ผู้เขียนสนใจนำมาเรียบเรียงอย่างชัดเจน ให้น่าสนใจโดยอาศัยข้อเท็จจริง ระกอบความคิดเห็นของผู้เขียนให้ผู้อ่านได้เข้าใจ ตามที่ผู้เขียนต้องการ เรียงความหรือ Essay เป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่ผู้เขียนได้เสนอความคิด ความรู้สึกตลอดถึงความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ออกมาให้ผู้อื่นทราบโดยการเขียนเป็นเรื่องราวและใช้ถ้อยคำภาษาที่สื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับความคิดและอารมณ์ของผู้เขียนเอง เรียงความหรือ Essay เป็นงานเขียนที่ประกอบด้วยหลายๆ ย่อหน้าหรือหลายๆ paragraphs เป็นงานเขียนที่เขียนเกี่ยวกับหัวข้อเพียงหัวข้อเดียว (one topic) เหมือนกับหนึ่งย่อหน้า แต่ด้วยเหตุที่หัวข้อหรือ topic นั้นยาวและซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ในหนึ่งย่อหน้าหรือหนึ่ง paragraph ดังนั้นผู้เขียนเรียงความจึงต้องแบ่งหัวข้อเรื่องออกเป็นหลายๆย่อหน้าหรือหลายๆ paragraph ซึ่งในแต่ละย่อหน้าก็จะมีประโยคใจความหรือประโยคหลักอยู่เพียงประโยคเดียว (one major point) หมายความว่าแต่ละย่อหน้าจะมี main idea เดียวเท่านั้น ที่เหลือก็จะเป็นประโยคสนับสนุนประโยคหลักหรือประโยค main idea สิ่งที่ผู้เขียนเรียงความต้องทำคือการผู้ร้อยเนื้อความของแต่ละย่อหน้าหรือ paragraph เข้าด้วยกันโดยการเพิ่มบทนำและบทสรุปเข้ามาด้วย //   การเขียนเรียงความถือว่าล่ายกว่าการเขียนย่อหน้า ส่วนที่ยากของการเขียนเรียงความเห็นจะเป็นความยาวที่เรียงความเรื่องหนึ่งควรจะมีเท่านั้น นั้นแสดงว่าถ้าคุณสามารถเขียนย่อหน้าหรือ paragraph ได้ดีคุณก็ย่อมเขียนเรียงความได้ดีเช่นกัน เพราะย่อหน้าหรือ paragraph คือส่วนประกอบของเรียงความหรือ essay นั้นเอง หมายความว่าเมื่อนำย่อหน้าต่างๆ มารวมเข้าด้วยกันพร้อมกับเพิ่มบทนำและบทสรุปเข้าไปก็จะทำให้ย่อหน้าเหล่านั้นกลายเป็นเรียงความดีๆ นี่เอง
ที่มา :  http://www.thaiessaywriting.com/?p=233

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ

รูปภาพ

                                                        เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ

       เทคนิคการเรียนภาษาประเทศอังกฤษให้เก่ง
ภาษาประเทศอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ความชำนิชำนาญนำไปใช้ติต่อการสื่อสารแห่งประเทศไทย เสาะ แสวงหาความรู้ได้อย่างกว้างขวางในทุกสาขาวิชา ฉะนั้นจึงเป็นวิชาที่มีความสำคัญยิ่งต่อการศึกษาทุกระดับชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนในระดับขั้นสูงขึ้นไป
โดยทองชมพูนุท ภาษาประเทศอังกฤษเป็นวิชาทักษะ ที่จะต้องอาศัยการฝึกฝนเรียนรู้อย่างความเสมอต้นเสมอปลาย
นร.จะต้องมุ่งพัฒนาทักษะหรือความความชำนิชำนาญของตนไปพร้อม ๆ กันทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน จึงจะเรียกได้ว่าเก่งภาษาประเทศอังกฤษโดยแท้ ด้วยคุณสมบัติทองชมพูนุทของภาษาประเทศอังกฤษ ทั้ง 4 ด้าน จึงขาดไม่ได้ต้องรู้เทคนิคบางนานัปการ เพื่อ เป็นนานัปการดังต่อไปนี้

1. การฟัง < ดังต่อไปนี้ >   ในช่วงชีวิตของคนเราแทบจะเกือบทุกดังต่อไปนี้ เราไดรับฟังคำพูดของคนโน้น คนนี้ตลอดเวลาทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ความอุดม ฉล าดทันคน ในการเรียนภาษาประเทศอังกฤษก็ดุจคนรุ่นเดียวกัน ถ้าหากได้ฟังภาษาประเทศอังกฤษอยู่เสมอ เราก็จะความชำนิชำนาญเรียนภาษาประเทศอังกฤษได้เก่ง วิธีการฝึกความความชำนิชำนาญทางด้านการฟังอาจการทำดีได้ดังต่อไปนี้
- “ พูดคุยกับความเป็นเจ้าของภาษา ” ในการสนทนาจะมีผู้ส่งสาร ( ผู้พูด ) และช่างรับเหมาก่อสร้างสาร ( ผู้ฟัง ) ผู้ที่รับสารจะได้รับฟังคำพูดของคู่สนทนา ทำให้เกิดการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น การใช้คำพูดทีเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การพัฒนาความความชำนิชำนาญในด้านการฟังให้เกิดความความเคยชินการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ฯลฯ ฉะนั้นเราจึงไม่ควรกลัวที่จะพูดผิดพลาด ความผิดพลาดนั้นเป็นกถาปกติ “ คนเราเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มาจากความทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมาก่อนทั้งสิ้น ” และสิ่งนี้แหละจะช่วยให้เราเก่งภาษาประเทศอังกฤษได้ทางหนึ่ง

- “ ฟังภาษาประเทศอังกฤษจากเทปสอนภาษาประเทศอังกฤษ ” จนกระทั่งบัดนี้เราความชำนิชำนาญซื้อหาเทปเรียนภาษาประเทศอังกฤษได้ความอุดม การฝึกฝนภาษาประเทศอังกฤษจากเทปนอกจากนี้เราจะพัฒนาความความชำนิชำนาญทางด้านการฟังแล้ว ยังได้ฝึกการพูด การอ่าน และ การเขียนไปพร้อมกันในตัวด้วย

2. การพูด ( นอกจากนี้ )    การที่เราพูดภาษาประเทศอังกฤษอยู่บ่อย ๆ จะทำให้เกิดความคล่อง ซึ่งจะส่งผลไปถึงการอ่านด้วย ขณะที่เราพูดได้ฝึกฝนในสิ่งต่อไปนี้
- “ การออกเสียง ” ( นอกจากนี้ )
- “ การเน้นเสียง ” ( นอกจากนี้ )
- “ การขึ้นเสียงสูง-ต่ำ ” ( นอกจากนี้ )
- “ การใช้ภาษาพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ”
จนกระทั่งบัดนี้การเรียนภาษาประเทศอังกฤษเรามุ่งเน้นการเรียนภาษาประเทศอังกฤษเพื่อการการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ ฉะนั้นนร.จึงจะได้ฝึกฝนอยู่เสมอ อย่าอายหรือกลัวว่าจะพูดผิดขณะที่เราไม่ขาดไม่ได้ต้องมีคู่สนทนาอยู่ด้วยเสมอ นร.อาจจะฝึกพูดคนเดียวหน้าคันฉาย 2 เมื่อพูดมาก ๆ จะทำให้เกิดความชำนาญ เราจะเก่งภาษาประเทศอังกฤษโดยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตัว

3. การอ่าน ( คันฉาย 2 )   การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญเหมาะสำหรับคนไทย เราควรจะได้อ่านกติกาสัญญาหรือไอเอสเอสเอ็นภาษาประเทศอังกฤษ บทความภาษาประเทศอังกฤษการ หรือนวนิยายภาษาประเทศอังกฤษ ต่างๆ อ่านมาก ๆ จะช่วยเพิ่มความรู้ ทางด้านภาษาประเทศอังกฤษของเราดังต่อไปนี้ ศัพท์ สัณฐานทางไวยกรณ์ คำสนทนาที่ขาดไม่ได้ต่อชีวิตประจำวัน ฯลฯ “อ่านภาษาประเทศอังกฤษทุกวันจะช่วยทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นสัณฐานภาษาประเทศอังกฤษ ”

4. การเขียน ( สัณฐาน)    เมื่อเราได้เรียนภาษาประเทศอังกฤษไม่ว่าจะเป็นในชั้นเรียนหรือนอกชั้นเรียน ถ้าถ้าว่าเราไม่ได้นำมาใช้ ในที่สุดก็จะลืม นักเขียนที่ขึ้นชื่อลือนามเขามักจะจดจดสิ่งต่าง ๆ ทุกแห่งที่เขาได้จับต้องเราก็เช่นกันเมื่ออ่านภาษาประเทศอังกฤษควรโน้ตสิ่งสำคัญ ๆ เอาไว้ และนำมาแต่งเอกรรถประโยคดู จะช่วยให้ไม่ลืมและเขียนได้ดีขึ้น การเขียนจะต้องถูกต้องตามหลักภาษาเขียน ฉะนั้นเราจึงควรศึกษาหาความรู้ทางด้านไวยกรณ์ประเทศอังกฤษโดยความเสมอต้นเสมอปลาย เราก็จะเก่งภาษาประเทศอังกฤษและเขียนภาษาประเทศอังกฤษได้ดี
“ กว่าที่ปลวกจะสร้างจอมปลวกเสร็จ มันต้องใช้ความขยันมานะความเพียรพยายามมาก เราก็เช่นกัน ถ้าอยากเรียนภาษาประเทศอังกฤษเก่งจงเริ่มสะสมความรู้ให้มาก มุมานะหาความรู้ทางด้านภาษาประเทศอังกฤษความเสมอต้นเสมอปลายทั้ง 4 ทักษะ โดยไม่ไม่ย่อท้อ ”
ที่มา :  http://www.tewmath.com/%E0%

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเขียนประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ

   การเขียนประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ                                             

    Abbreviated style

คือ การเขียนสั้นๆ โดยละบางส่วนของไวยากรณ์ โดยส่วนใหญ่จำเป็นต้องเขียนแบบสั้นๆเพื่อรักษาพื้นที่หรือพูดให้ทันเวลา

ตัวอย่างของการเขียนมีลักษณะนี้

1. advertisement and instruction

   ในพื้นที่โฆษณาเล็กๆ หรือ การบอกคำแนะนำ วิธีการใช้สิ่งต่างๆ ส่วนใหญ่จะ ละ article ( a an the) ละประธานของประโยค ละกรรม สรรพนาม รูป verb to be หรือ preposition (บุพบท) เช่น Single man looking for flat Oxford area. Phone 806127 weekends. ถ้าจะเขียนแบบเต็มประโยคก็อาจจะเขียนได้ว่า A singleman (ชายโสด) is looking for a flat in Oxford area. Please phone 806127 at weekends. Job needed urgently. Will do anything legal. Call 312654. ต้องการงานด่วนมาก ทำได้ทุกอย่างที่ถูกกฏหมาย โทรมาที่..... ถ้าเขียนเต็มประโยค อาจจะเป็น Job is needed urgently. I will do anything legal. Please call 312654. เนื่องจากเป็นรูปประโยค passive คือ s + v to be + v3 และมี adv. Urgently อย่างเร่งด่วนมาขยายกริยา needed ส่วนอีกประโยคเห็นได้ชัดว่าละประธานไป เพื่อประหยัดพื้นที่ในการโฆษณา เนื่องจากว่า ในการโฆษณานั้น พื้นที่มาก็ย่อมจะเสียเงินมาก ในการเขียนคำแนะนำ วิธีปฏิบัติก็ใช้การละแบบนี้เช่นกัน Pour mixture into large saucepan, heat until boiling, then add three pounds sugar and leave on low heat for 45 minutes. Pour – ริน mixture ส่วนผสมที่ทำให้เข้ากันแล้ว Heat เป็นกริยา ทำให้ร้อน

 2.notes    การเขียนโน้ตแบบไม่เป็นทางการ การเขียนรายการที่จะต้องทำ เขียนไดอารี ฯลฯ ก็มักจะใช้กฏเดียวกัน
เช่น เขียนโน้ตไว้ที่บ้าน แปะไว้ให้คนอื่นอ่าน Gone to hairdresses. Back 12.30 ไปร้านทำผม จะกลับมาตอนเทียงครึ่ง รายการเตือนความจำว่าจะทำอะไรบ้าง Book ticket จองตั๋ว Phone Ann โทรไปหาแอน See Joe 11.00 ไปหาโจตอน 11 โมง ในการเขียนโปสการ์ด จดหมายไม่เป็นทางการแบบสั้นๆ หรือ เมล์ไม่เป็นทางการก็ใช้ได้ Dear Gran Watching tennis on TV. ดูเทนนิสในทีวี A good book. อ่านหนังสือดีๆ Three meals a day. อาหาร 3 มื้อต่อวัน No washing – up. ไม่ต้องล้างจาน ** คำว่า washing- up เป็นนามนับไม่ได้ ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษหมายถึงการล้างจาน โดยจะใช้คู่กับคำกริยาว่า Do the washing – up เช่น It’s your turn to do the washing – up, Yun ถึงคราวนายล้างจานแล้วนะ ยุน แต่ถ้า washing – up ในอังกฤษแบบอเมริกัน หมายถึง กองจานสกปรกที่รอการล้างอยู่ เช่น a pile of washing-up ** Clean sheets every day ผ้าปูเตียงสะอาดๆทุกวัน Everything done to me. (มาจาก Everything was done to me) ทุกอย่างถูกจัดการให้ชั้นเรียบร้อย Yes, you’ve guessed – in hospital !! ใช่ เดาถูกแล้วล่ะ ชั้นอยู่ในโรงพยาบาล Only went to doctor for cold. ( I only went to see a doctor for a cold) ตอนแรกแค่มาหาหมอเพราะคิดว่าเป็นหวัด - landed up in hospital with pneumonia คำว่า land up หมายถึง มาถึงสถานที่ใดที่หนึ่ง หสังจากที่ไปทำอะไรต่อมิอะไรมา คล้ายๆกับ คำว่า end up ประมาณว่า สุดท้าย ชั้นก็ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลเพราะโรคนิวมอเนีย If you have time please tell the others – would love some letters to cheer me up. ถ้ามีเวลาไปบอกคนอื่นด้วยนะ ชั้นอยากได้จดหมายให้กำลังใจบ้าง คำว่า would love something เป็นภาษาพูด หมายความว่า อยากจะได้อะไร หรืออยากจะให้คนอื่นทำอะไรให้ ในทีนี้เนื่องจากคนเขียนจดหมายป่วย ก็เลยต้องการมาก การบอกว่า would love จะบ่งบอกว่า ต้องการมากกว่า would like To cheer someone up ใช้เป็นโครงสร้างหมายถึง เพื่อให้กำลังใจ ทำให้รู้สึกดีขึ้น ในกรณีที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจ โศกเศร้า เช่น Here is a bit of news to cheer you up นี่จะเป็นข่าวที่ทำให้นายรู้สึกดีขึ้นนะ ลงท้ายว่า Hope to see you. Love, Pam.

ที่มา :  http://eng44you.exteen.com/20090213/entry-1